เมื่อ 1 ปีที่แล้ว ฉันได้แต่บอกกับตัวเองว่า คงไม่ได้กลับมาที่ภูฏานอีกแล้ว หลังจากการเดินทางครั้งนั้น ฉันก็รู้สึกว่าตกหลุมรักภูฏานเสียแล้ว... ถ้าเปรียบภูฏานเป็นชายหนุ่ม คงจะเป็นชายหนุ่มที่ดูภายนอกแสนจะธรรมดา แต่เมื่อได้ทำความรู้จัก เขาก็เป็นผู้ชายที่วิเศษและน่าอบอุ่นเป็นที่สุด และคงหาใครที่เหมือนเขาไม่ได้อีกแล้ว
หลังผ่านมากว่า 1 ปี แต่ความคิดถึงไม่ได้น้อยลงเลย สิ่งที่คิดว่าคงจบแล้ว แต่ความรู้สึกยังไม่ยอมจบ เรื่องราวของการเดินทางครั้งที่ 2 ของฉันจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง ฉันเรียกการเดินทางครั้งนี้ว่า Bhutan 2nd time of happiness
27 Aug 2012 วันแรกของทริปครั้งที่ 2 ไม่ได้แตกต่างจากเมื่อปีที่แล้วมากนัก ต่างกันแค่ที่ว่า วันนี้ฟ้าสวย ใส ไม่มีฝน และเที่ยวบินมาถึงเช้ากว่าเมื่อครั้งที่แล้ว รวมถึงไกด์คนใหม่ สำหรับทริปนี้คือ Mr. Karma Dhendup :)
ระหว่างทางจาก Paro วิวยังเหมือนเดิมไม่ได้แตกต่างจากคราวที่แล้วนัก ที่แตกต่างอาจจะเป็นเพิงเล็ก ๆ ข้างทาง ที่ชาวบ้านเอาผลไม้ พืชผักมาขาย
บรรยากาศข้างทางจาก Paro สู่ Thimpu |
ทริปที่วางไว้สำหรับวันแรก ก็คือรักแรกของฉัน "ผอบจิกะ (Phobjika Valley)" ถึงแม้วันแรกนี้ ที่ผอบจิกะจะเป็นเพียงที่พักค้างคืนเท่านั้น เนื่องจากระยะทางไกลถึง 194 กม. จึงทำให้ไปไปถึงผอบจิกะก็เย็นมากแล้ว แต่ฉันก็ยังรู้สึกดีที่ได้กลับมา
ทริปนี้ฉันตั้งใจขอเป็นพิเศษกับคุณหลิงว่า จัดทริปยังไงก็ได้ แต่มีโจทย์ข้อเดียวที่สำคัญมาก คือขออยู่ผอบจิกะ 2 วัน จะเดินทางไกล ยาวนานแค่ไหน ไม่เป็นไร ขอแค่ได้ไปถึงก็พอใจแล้ว ซึ่งคุณหลิงก็ช่วยเหลือจัดการให้จนเรียบร้อย
และสถานที่สวย ๆ ต้องแลกด้วยความทรหดอีกเล็กน้อย...จาก Paro ไป Phobjika ใช้เวลาเดินทางประมาณ 6 ชั่วโมง ทริปนี้จึงออกจะทรหดนิดนึงสำหรับคนที่ไม่ชอบนั่งรถนาน ๆ
แต่สำหรับใครก็ตามที่สนใจเรื่องราวระหว่างทางไม่น้อยไปกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ คงจะมีความสุขเล็ก ๆ เหมือนกับฉัน เพราะเพียงแค่ได้มองออกไปนอกหน้าต่าง ภาพข้างทางของภูเขาที่ทอดรับสลับกันลูกแล้วลูกเล่า ก็ชวนให้น่าสนใจไปได้ตลอดทาง
และนี่คือภาพระหว่างทางที่แสนสวยของ Dochula pass
หากนับรวมกับเมื่อปีที่แล้ว ฉันผ่านที่ Dochula pass ประมาณ 4 ครั้ง และยังไม่มีครั้งไหนที่ฉันเห็น Dochula pass ในวันที่ฟ้าใสซักครั้ง เนื่องจากสถานที่นี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3,150 เมตร อากาศเย็นมาก ซึ่งครั้งที่แล้วฝนตก หรือถ้าฝนไม่ตก
ก็หมอกลงจัด จึงยังไม่มีโอกาสได้เห็นฟ้าแจ่ม ๆ ซักครั้ง ไกด์บอกว่าหากมาช่วงหน้าหนาว เราจึงจะเห็นฟ้าใสและสามารถเห็นวิวภูเขาหิมาลัยด้านตะวันตกได้อีกด้วย
ที่เห็นในรูปคือ 108 สถูป หรือที่เรียกกันว่า Dochula Chorten สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้กับทหารภูฏานที่เสียชีวิตจากสงครามอัสสัม
และอีกด้านหนึ่งของ 108 สถูป ก็คือวัด Drukwangyel Lhakhang ซึ่งสร้างโดยพระราชินีในพระราชาองค์ที่ 4 ด้านในมีภาพเขียนของเจ้าหญิงและเจ้าชายทุกพระองค์ ซึ่งด้านบนเราสามารถมองวิวได้แบบ Panorama
หลังจากแวะเที่ยวชมภายในแล้ว เราก็เดินทางเข้าผอบจิกะกันต่อ ซึ่งยังต้องเดินทางอีกยาวไกล นอกจากนี้มีสิ่งที่นักท่องเที่ยวควรรู้คือ ระหว่างทางอาจมีเหตุการณ์เกิดขึ้นได้เสมอ เพราะการเดินทางที่ภูฏานจะสัญจรบนเทือกเขาสูงตลอดเส้นทาง บางครั้งอาจมีปัญหาดินสไลด์บ้าง ปิดซ่อมแซมทางบ้าง ก็อย่าเพิ่งเบื่อกันนะคะ ก็บอกแล้วว่า ข้างทางมีอะไรให้เราน่าสนใจอยู่เสมอ :)
สำหรับทริปนี้ ก็เป็นตามธรรมเนียมเช่นกัน เราต้องจอดรอให้คนงานขนหินจากภูเขา (ที่ทราบจากไกด์ว่าเป็นของรัฐบาล) ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นการทำงานตามปกติ ไม่ได้เกิดจากเหตุสุดวิสัยอะไร คนงานจะขนหินจากภูเขาลงมาทำเขื่อน ภูเขาเป็นลูก ๆ ถูกแม็คโครและอุปกรณ์ต่าง ๆ เจาะกันตรงนั้น ทางรัฐบาลจะกำหนดเวลาทำงานเป็นช่วง ๆ ให้รถได้วิ่งผ่านได้เป็นรอบ ๆ สำหรับรอบของฉันก็เบาะ ๆ แค่ 30 นาที ระหว่างนี้ ก็ทำความรู้จักกับ karma คุยกันไปเรื่อย ๆ อย่างมีความสุข
แสงแดดเริ่มบางตา หมอกจาง ๆ เริ่มคล้อยต่ำลงมาละอยู่ตามยอดเขา อากาศเริ่มหนาวขึ้น พร้อมกับมีสายฝนพรำ ทำให้คิดถึงบรรยากาศครั้งแรกที่เคยมา... ความรู้สึกเดียวกัน แต่ต่างกันตรงที่ว่าคราวนี้ แค่เห็นเส้นทางที่คุ้นเคยฉันก็รู้แล้วว่าอีกไม่ไกลก็จะถึงผอบจิกะแล้ว .... ฉันยิ้มด้วยความดีใจ เหมือนตัวเองได้กลับมาบ้านซักที พอเข้าเขตหมู่บ้านเม็ดฝนก็ซาลงแล้ว เสียดายตรงที่ว่ามาถึงผอบจิกะก็เย็นแล้ว เลยไม่ได้มีโอกาสไปเดินเล่นที่ไหน ตรงเข้าพักที่โรงแรม Gakling Guest house ซึ่งเป็นตึกสร้างใหม่
ที่นี่เป็นโรงแรมที่ห้องน้ำกว้างมาก :) มีเครื่องทำน้ำอุ่น และมีเครื่องทำความร้อน อาหารค่ำอร่อยมากโดยเฉพาะเมนูซุปไข่ อร่อยมาก อร่อยจนอยากทำกินเองที่กรุงเทพเลยล่ะ :)
วิวผอบจิกะที่มองจากระเบียงชั้นบนของโรงแรม |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น