อยู่กรุงเทพไม่เคยคิดที่จะตื่นเช้าเลยซักวัน แต่พอมาอยู่ภูฏาน หกโมงกว่า ๆ ก็ตื่นแล้ว เปิดหน้าต่างมาสูดอากาศยามเช้า แม้จะยังไม่มีวี่แววของแสงอาทิตย์ แต่ฟ้าก็กระจ่างตา.... ที่นอกหน้าต่างทุกอย่างยังคงนิ่งเงียบ มีเพียงกลุ่มควันที่ลอยออกมาจากบ้านชาวนาเท่านั้น ที่ทำให้รู้ว่าไม่ใช่ฉันเพียงคนเดียว ที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้
ผอบจิกะเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่บ้านแต่ละหลังจะปลูกกระจายตัวอยู่ตามเชิงเขา เป็นบรรยากาศของชนบทที่เงียบสงบ มองไปทางไหนเราก็จะเห็นภูเขาตั้งตระหง่านและปกคลุมไปด้วยสนไซปรัสทั้งหุบเขา ที่นี่อากาศหนาวเย็นตลอดปี โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาว จะมีหิมะตก และในช่วงนั้นเราจะพบเห็นฝูงนกกระเรียนคอดำ (black crane) จำนวนมาก อพยพมาอาศัยอยู่ที่นี่ ที่ผอบจิกะจัดทำหอดูนกกระเรียน เป็นอาคารทรงเหลี่ยมที่สามารถดูวิวได้แบบ panorama หรือที่เรียกว่า "Crane info Centre" ไว้ให้บริการนักท่องเที่ยวได้มาส่องกล้องดูนก และเป็นแหล่งข้อมูลให้ความรู้เกี่ยวกับนกกระเรียนคอดำด้วย
วันนี้เป็นอีกวันหนึ่งที่อากาศยามเช้าดูสดชื่น อาจเป็นเพราะสายฝนเมื่อค่ำคืนที่โปรยทิ้งไว้ ทำให้ในเช้าวันนี้ ใบไม้ใบหญ้าต่างดูชุ่มฉ่ำ สดชื่น จนฉันเองก็ไม่อยากเดินทางไปไหนแล้ว
เมื่อรับประทานอาหารเช้าเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางต่อ โดยวันนี้มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ทรองซา (Trongsa) ซึ่งระหว่างเส้นทางจากผอบจิกะไปทรองซาใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง ระยะทาง 73 กิโลเมตร
แต่ก่อนออกเดินทางเราแวะไปทำบุญที่ Gangtey Monastry ที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านผอบจิกะ
วิวจาก Gangtey Monastry |
Gantey Monastry |
Panorama @ Gantey เห็นวิวสวย ๆ แบบนี้ Karma บอกว่าจะพาฉันมาเดิน trail สั้น ๆ ซัก 4 กิโลเมตร แต่ไม่ใช่วันนี้ Karma บอกว่า หลังจากกลับจากบุมถังแล้ว เราจะได้มาเดินเล่นด้วยกันที่นี่อีกครั้ง |
ฉันเรียกที่นี่ว่าปากทางเข้าหมู่บ้านผอบจิกะ จะเห็นทุ่งดอกไม้สีเหลืองอร่าม |
เส้นทางจะผ่านสถานที่สวย ๆ หลายแห่ง ที่ฉันบอกว่าสวยนี้ หมายถึงความสวยงามตามธรรมชาติของหุบเขา ที่ปลายฝนจะเห็นดอกไม้งาม ๆ และหุบเขาของทุ่งบัควีคและทุ่งมัสตาร์ด
สำหรับคนที่เกิดในเมืองร้อนอย่างฉัน การได้เห็นอะไรที่แปลกตาจากที่เคย มันช่างเป็นความสุขที่ทำให้ฉันยิ้มได้ เป็นความสวยงามที่น่าประทับใจที่สุด
Karma บอกว่าเส้นทางทรองซา เคยเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง The Traveller & Magician (มิน่าล่ะ รู้สึกคุ้นตาจัง :) รู้สึกยินดีเป็นหนักหนาที่ได้มีโอกาสตามรอยภาพยนตร์ที่เราชื่นชอบ เพราะแค่ได้เห็นวิวในหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้หายคิดถึงภูฏานไปได้มาก
stupas@pelela pass |
เรามาถึงที่พักประมาณเที่ยงกว่า ๆ รู้สึกหิวจัง แต่ก็ยังทานไม่ได้ เพราะว่าที่นี่เขาทานอาหารเที่ยงตอนบ่ายโมง :) (ส่วนอาหารค่ำก็ทุ่มกว่า ๆ ไปแล้ว ช่วงกลางวันฉันยังไม่หิวมากนัก แต่ช่วงค่ำนั้น ช่างเป็นการรอคอยที่ยาวนานเหลือเกิน ดังนั้น ฉันจึงต้องมีเสบียงสำรองกินไปก่อน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นขนม/ช็อคโกแลต ที่เตรียมมาจากเมืองไทย)
ระหว่างรอ ก็เข้าที่พัก ล้างหน้าล้างตา แล้วเดิมชมรีสอร์ท วันนี้เราจะพักกันที่ Yangkhil Resort มาดูรีสอร์ทสวย ๆ กันดีกว่า
ที่นี่ตั้งอยู่บนภูเขา เป็นทำเลที่มองเห็น Trongsa Dzong ได้อย่างชัดเจน ที่พักก็สไตล์โมเดิร์น อุปกรณ์อำนวยความสะดวกค่อนข้างพร้อมทุกอย่าง ยกเว้นโทรทัศน์ที่ไม่มีให้ดู (ผอบจิกะ ทรองซา และบุมถัง ที่พักล้วนแต่ไม่มีโทรทัศน์ อาจเนื่องจากระยะทางที่ห่างไกล กำลังไฟที่ผลิตได้ อาจมีปริมาณจำกัด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับฉัน เพราะตอนอยู่กรุงเทพก็แทบจะไม่ได้ดูละครเลย)
หน้าห้องพักของฉัน มุมระเบียงสามารถเห็น Trongsa Dzong ได้ชัดเจน |
สวนสวย ๆ ของรีสอร์ท (ในบ่อมีเลี้ยงปลาคราฟด้วย :) ปลาคราฟภูเขา 555
วิวในเมืองทรองซาที่ปลูกบ้านและที่อยู่อาศัยบนเนินเขา |
Karma เล่าว่า สมัยก่อนหากจะเดินทางจาก Mongklar ซึ่งอยู่ภูฏานฝั่งตะวันออก เพื่อจะไปฝั่งตะวันตก ก็จะต้องมาผ่านที่ Trongsa ก่อน กว่าจะเดินทางถึง Thimpu ใช้เวลาถึง 2 สัปดาห์
หลังจากนั้นเราก็ลงมาแวะชม Trongsa Dzong ซึ่งเป็นป้อมปราการที่เก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของภูฏาน และเป็นพระราชวังของพระราชาองค์ที่ 1 แห่งภูฏาน
เราจบภารกิจการเดินเที่ยวชมเมือง Trongsa แบบไม่เหน็ดเหนื่อย กลับที่พักก็เกือบ ๆ ห้าโมงเย็น ยังมีเวลาเดินเล่นในรีสอร์ท และไปนั่งมองวิวยามเย็นที่รีสอร์ท วิวที่นี่สวย แต่ใจฉันก็ยังแอบนึกถึงผอบจิกะ เขาจะเรียกว่านอกใจได้หรือเปล่า :) เหมือนอยู่กับคนนี้ แต่ใจไปอยู่กับอีกคน 555 ก็ฉันรักผอบจิกะยิ่งกว่าอะไรซะอีก จะไม่ให้นึกถึงก็คงไม่ได้
ความงามนั้นแตกต่างกัน แต่ที่เหมือนกันก็คือความเป็นธรรมชาติของที่นี่ ฉันหวังว่าความงามแบบนี้จะอยู่ไปนาน ๆ ไม่ว่ากี่ปีก็ไม่มีเปลี่ยน
พรุ่งนี้เราจะต้องเดินทางต่ออีกเล็กน้อย เขาว่ากันว่าที่บุมถัง (Bumthang) เป็นสวิสเซอร์แลนด์แห่งเอเชีย ฉันเองก็ไม่เคยไป พรุ่งนี้เราคงจะรู้กันแล้วว่าเป็นจริงอย่างกล่าวอ้างหรือเปล่า